ศาลอินเดียตัดสินจำคุกตลอดชีวิต 14 คนในคดีเรียกค่าไถ่บิทคอยน์

ศาลต่อต้านการทุจริตอินเดียในอาเมดาบัดได้ตัดสินจำคุกตลอดชีวิตผู้ต้องหา 14 คนที่เกี่ยวข้องกับคดีกรรโชกเงินบิตคอยน์ที่โด่งดังซึ่งย้อนหลังไปถึงปี 2018 การพิพากษารวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งปัจจุบันและอดีต 11 คน พร้อมกับอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติหนึ่งคน ซึ่งทั้งหมดถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาร่วมขบวนการอาชญากรรม ลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่ การกักขังโดยไม่ได้รับอนุญาต และการทำร้ายร่างกาย ผู้พิพากษาพิเศษ บี.บี. จาดาฟ ระบุว่ากลุ่มนี้ได้สมคบคิดลักพาตัวนักธุรกิจซูรัต ชาเลช ภัทท์ เพื่อบังคับให้โอนบิตคอยน์ของเขา

แก๊งกรรโชกเงินได้โจมตีภัทท์หลังจากที่เขากู้คืนส่วนหนึ่งของการลงทุนจากโครงการ BitConnect ที่ล่มสลาย ดาวัล มาวานี ผู้พัฒนาที่เกี่ยวข้องกับโครงการนั้นได้คืนบิตคอยน์จำนวน 752 BTC ให้กับภัทท์ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เจ้าหน้าที่ระดับสูง — รวมถึงอดีตหัวหน้าสำนักงานเขตอัมเรลี จักดิศ ปาเทล และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นาลิน โคทาเดีย — วางแผนลักพาตัว พวกเขากักขังภัทท์อย่างผิดกฎหมายที่ฟาร์มเคชาฟใกล้กับกานธีนาราย ทำร้ายร่างกาย และบังคับให้เขายอมรับว่ามีบิตคอยน์จำนวน 176 BTC กับผู้ร่วมงาน การขายบังคับและการกรรโชกเงินสดทำรายได้ราว 150,000 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงแรก แต่การเรียกค่าไถ่เต็มจำนวนยังไม่สมบูรณ์

ศาลได้รับฟังคำให้การจากพยานจำนวน 173 คนตลอดระยะเวลาการพิจารณาคดี หลักฐานประกอบด้วยคำให้การที่บันทึกไว้ การวิเคราะห์นิติวิทยาศาสตร์ของการเคลื่อนไหวทางการเงิน และคำให้การของพยานเกี่ยวกับการทำร้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกตัดสินมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันการทุจริตในหมวดความประพฤติผิดของเจ้าพนักงานสาธารณะ การตัดสินใจดังกล่าวยังสั่งให้ยึดเครื่องประดับทองและทรัพย์สินอื่นๆ ที่เก็บได้ในระหว่างการตรวจค้นบ้านของเจ้าหน้าที่ที่ถูกกล่าวหา เพื่อนำส่งให้กับกรมเหรียญกษาปณ์ในมุมไบ ทางการได้เตือนว่าการช่วยเหลือการฟอกเงินคริปโตโดยเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนร่วมจะนำไปสู่การสอบสวนเพิ่มเติม

คำพิพากษาที่สำคัญนี้สะท้อนถึงความกังวลที่ยังคงมีอยู่เกี่ยวกับอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลในอินเดีย ในขณะที่การใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลขยายตัว หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต้องเผชิญกับความท้าทายในการติดตามการเคลื่อนไหวที่มิชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากโครงสร้างการทำธุรกรรมที่ไม่ระบุชื่อ ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำถึงความสำคัญของเครื่องมือวิเคราะห์บนเชนและโปรโตคอล KYC ที่เข้มงวดขึ้นสำหรับตลาดซื้อขายเพื่อป้องกันการใช้เงินในทางที่ผิด คำตัดสินของศาลชี้ให้เห็นถึงความพร้อมของระบบศาลในการกำหนดมาตรการลงโทษรุนแรงต่อการละเมิดที่เจ้าหน้าที่สาธารณะมีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นข้อความเตือนสำหรับผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์จากสกุลเงินดิจิทัลเพื่อการทุจริต